อาหารไทยนั้นได้ชื่อว่ามีความอร่อยรสชาติจัดจ้านและ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ในเรื่องความ เผ็ด ร้อน และมีความหลากหลายในเรื่องของสมุนไพรที่ใช้เป็นเครื่องเทศ รวมทั้งเครื่องเครื่องปรุงรส ไม่ว่าจะเป็น น้ำปลา ซอส ชนิดต่าง น้ำตาล เกลือ ผงชูรส ผงปรุงรส และอีกมากมาย
ถึงแม้ว่าเครื่องปรุงรสที่หลากหลายเหล่านี้จะช่วยเพิ่มรสชาติของอาให้ดีขึ้น แต่ในมุมมองของคนรักสุขภาพนั้นจะพบว่า ในเครื่องปรุงรสเหล่านี้มีปริมาณโซเดียมที่สูง และหากรับประทานอาหารที่ปรุงรสจัดๆ ก็จะทำให้ผู้บริโภคได้รับปริมาณโซเดียมที่มากเกินไป และอาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตได้
โซเดียม นั้นมีความจำเป็นต่อร่างกาย ที่ทำหน้าที่ในการรักษาสมดุลของปริมาณน้ำในร่างกาย และยังรักษาความเป็นกรด หรือ ด่าง
ในหนึ่งวันร่างกายต้องการโซเดียมประมาณ 2,000 มิลลิกรัม เท่ากับปริมาณเกลือแกง หรือ เกลือป่น 1 ช้อนชา หรือเท่ากับปริมาณน้ำปลา 5 ช้อนชา
ถึงแม้ว่าโซเดียมจะมีประโยชน์ และจำเป็นต่อร่างกาย แต่เนื่องจากอาหารไทยนั้นใช้เครื่องปรุงรสค่อยข้างเยอะ และในเครื่องปรุงรสชนิดต่างๆ เช่น เกลือ น้ำปลา ผงปรุงรส ซอส ซอสหอยนางรม ฯลฯ เหล่านี้มีปริมาณโซเดียมค่อยข้างสูง ดังนั้นคนที่ชอบรับประทานอาหารรสจัดจึงมีโอกาสที่จะได้รับโซเดียมมากเกินกว่าความต้องการใช้ของร่างกายในแต่ละวัน และโซเดียมส่วนเกินนี้จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ทำให้ไตทำงานหนัก เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน โรคความดัน และโรคมะเร็ง
ในปัจจุบันพบว่าคนไทยรับประทานโซเดียมโดยเฉลี่ย มากถึง 7000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งโดยปกติแล้วสาธารณะสุข แนะนำให้รับประทานโซเดียมในปริมาณที่เหมาะสม คือ 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน จะเห็นได้ว่า เรารับประทานโซเดียมเกินความจำเป็นถึง ค 4,700 มิลลิกรัมต่อวัน
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
1.รับประทานอาหารที่ปรุงรสจัด เช่น เค็มจัด
2.หลีกเลี่ยงการเติมพริกน้ำปลา
3.หลีกเลี่ยงการเติมน้ำปลา หรือ ซอสเพิ่ม
4.หลีกเลี่ยงอาหารกระป๋อง หรือ อาหารปรุงหลายขั้นตอน
สิ่งที่ควรทำ
1.เลือกรับประทานอาหารที่มีโซเดียมต่ำ
2.รับประทานผักผลไม้ เดี๋ยวนี้มีผักอัดเม็ด ไปลองดูกันหน่อย!!!
3.รับประทานอาหารรสกลางๆ
4.หลีกเลี่ยงอาหารประเภทกระป๋อง
5.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของผงฟู หรือเบ็กกิ้งโซดา
6. ดื่มน้ำเปล่าเป็นประจำแทนพวกน้ำแร่ หรือ น้ำเกลือแร่
7.สร้างความเคยชินให้รับประทานอาหารที่มีรสจืด
8. สมุนไพรที่สามารถขับพิษ ปรับน้ำเหลือง เสริมภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกาย อาทิเช่น
พลูคาว หรือ คาวตอง ผักพื้นบ้าน ...ไปอ่านรายละเอียดกัน!!!
ขอบคุณข้อมูลจาก smpksr.com/b/141
No comments:
Post a Comment