อยู่ได้ด้วยกำลังใจและสมุนไพรช่วยชีวิต…
โดย...ผอ.ศิริลักษณ์ จันทรมานนท์
หลังจากผ่าตัดลำใส้ใหญ่ที่มีก้อนเนื้อไปเกือบฟุต
ณ รพ. พระมงกุฎฯ
เมื่อวันที่
31 มี.ค. 2549 โดยมี
ลูกชาย
ลูกปู (วรพล) และ ลูกปลา (รุจนวัตน์) คอยสับเปลี่ยนกันมาดูแลล้างแผลและให้กำลังใจคุณแม่ทุกวันจนออกจาก
รพ.ในวันที่ 6 เม.ย.49 ไปพักฟื้น...
หลังพักฟื้นพร้อมทั้งทำใจรอฟังผลก้อนเนื้ออีกสิบกว่าวัน... ในวันที่ 24
เม.ย.49
ลูกปูพาคุณแม่ไปฟังผลแต่เช้าทันทีที่ถึงคิว...เสียงพยาบาลเรียก...เชิญคุณศิริลักษณ์ค่ะ..
เข้าไปพบหมอ
ประโยคแรก...คุณหมอถามหาญาติ
คือลูกปูให้เข้ามาฟังผลด้วย... ณ วินาทีนั้น ดิฉันรู้ได้ทันทีว่าต้องไม่ใช่ข่าวดีแน่.. “คุณเป็นมะเร็งระยะสาม...เดี๋ยวผมจะส่งตัวขึ้นไปพบหมอด้านมะเร็งเพื่อวางแผนการรักษาชั้นบน...”
ดิฉันได้พบกับคุณหมอผู้หญิงในโอกาสต่อมา...หมอให้เลือกใน 3
แผนการรักษา ดิฉันตัดสินใจเลือกการใช้ยาเคมีบำบัด 12 ครั้ง แทนการทานยา
และการให้เคมี 6 ครั้ง ซึ่งการเลือกแผนนี้เป็นแผนที่มีเปอร์เซ็นการกลับมาเป็นอีกน้อยที่สุด...แต่เข้มข้น ที่สุด...
ดิฉันได้โอนการรักษาโดยใช้ยาเคมีบำบัดไปที่
รพ.มหาราชนครเชียงใหม่
จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นบ้านเกิดมีลูกสาว (นวิยา) ญาติ ๆ และ
ลูกศิษย์ลูกหามากมาย เพราะสงสารลูกชายทั้งสองเนื่องด้วยเพิ่งได้งานใหม่ทั้งคู่
เกรงจะเป็นกังวล ดิฉันเข้ารับยาเคมีบำบัด (ครีโม)
ครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 เม..ย. 2549
และต้องรับยาทุก ๆ 10 -15 วัน
โดยอยู่ในความดูแลของอาจารย์หมอที่เชี่ยวชาญโรคมะเร็งลำใส้โดยตรง นพ.ไพศิษฎ์
ศิริวิทยากร ...คุณยายคุณตาดูจะเป็นกังวลมากที่สุด... แต่ดิฉันเองพยายามที่จะไม่บ่นเจ็บปวดหรือมีน้ำตาให้เป็นกังวลกับคุณยายคุณตาและลูก
ๆ แต่ละครั้งดิฉันต้องนอนนิ่ง ๆ ให้ยาเคมีไหลเข้าสู่ร่างกาย...เป็นเวลา
3-4 วัน
ไหนจะต้องพยายามดูแลเปลี่ยนถุงและทำความสะอาดลำใส้หน้าท้อง พยายามอดทน
และให้กำลังใจตนเองด้วยหลักธรรมะ สมาธิและเพลง บรรเลงนิพพาน (สวรรค์ 7 ชั้น) ซึ่งลูกปลาได้หาซื้อ MP 3
ให้แม่ใส่เพลงนิพพานที่ครูกระปุก (คลองไผ่) ซื้อมาให้และบันทึกนิทานธรรมะที่น้องจิ๋ม
(นวมินทร์)หามาจากเวปไซด์ (กรรมพยากรณ์ 1-2 และ
เสียดายคนตายไมได้อ่าน) ทำให้ดิฉันบรรเทาความเจ็บปวดและทุรนทุรายได้เป็นอย่างมากทีเดียว
...ประมาณ เดือน ก.ย. 2549
เป็นการให้ครีโมครั้งที่ 9 ครั้งนั้นดิฉันทรมาณมาก เส้นเลือดที่แขนทั้งสองไหม้ ลูกศิษย์ที่เป็นพยาบาล ต้องแทงเข็มหาเส้นใส่ครีโมถึง
3-4 ครั้ง น้ำหนักลดลงเหลือ 35 กก.
จากเดิม 42 กก. ทานอาหารไม่ได้ จนต้องขออาจารย์หมอหยุดให้ยา แต่คุณหมอขอร้องให้อดทนอีกต่อไป... และคงเป็นบุญกุศลสำหรับดิฉัน.. ดิฉันได้รู้จักยาสมุนไพรแผนโบราณ
(ไปดูกันว่าเป็นยาโบราณใด มีสรรพคุณอย่างไร ทานอย่างไร ซื้อหาได้ที่ไหนสะดวก... Click เพื่ออ่าน) ซึ่งตัวยาทำจาก พูลคาว เห็ดหลินจือ และกระชายดำ จากการแนะนำของเพื่อนผู้น้อง (อ.สถาพร ม.สุรนารี) ที่เป็นวิทยากรด้วยกัน... การให้ครีโมครั้งที่ 9 เสร็จสิ้นอย่างทุกข์ทรมาณที่สุดในชีวิต...ได้อุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์ สรรพชีวิต ที่ได้กระทำ และอธิษฐานจิตว่าถ้าหายจากโรคภัยครั้งนี้ จะลาออกจากราชการ มาถวายงานในเบื้องพระยุคลบาท ในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพียงอย่างเดียว และหลังจากออกรพ. ครั้งที่ 9 ดิฉันก็ขอน้องสะไภ้ (น้องแจ๋ว) ไปตามหาสมุนไพรที่ อ.สถาพร ได้แนะนำ... รีบหามาทาน ๆ ๆ หลังอาหาร 3 มื้อ มื้อละ 30 cc. ตามคำบอก ...ดิฉันฟื้นตัวได้อย่างแทบไม่น่าเชื่อ...เพราะสังเกตตัวเองในการให้เคมีบำบัดหรือครีโมครั้งที่ 10...11...12 ดิฉันแข็งแรงขึ้นมาก...ไม่เจ็บปวด...ไม่ทุรนทุราย...ทานข้าวได้ใน รพ. เมื่อเสร็จสิ้นการรับยาครีโม ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 5 พ.ย.2549 ฟักฟื้นเพียง 9 วัน ดิฉันก็กลับไปทำงานที่โคราชในวันที่ 14 พ.ย.49 แต่ทานยาลดลงเหลือ 2 มื้อ และเมื่ออาจารย์หมอให้ทำ CT สแกนน์ เพราะครบ 1 ปีของการ
(ไปดูกันว่าเป็นยาโบราณใด มีสรรพคุณอย่างไร ทานอย่างไร ซื้อหาได้ที่ไหนสะดวก... Click เพื่ออ่าน) ซึ่งตัวยาทำจาก พูลคาว เห็ดหลินจือ และกระชายดำ จากการแนะนำของเพื่อนผู้น้อง (อ.สถาพร ม.สุรนารี) ที่เป็นวิทยากรด้วยกัน... การให้ครีโมครั้งที่ 9 เสร็จสิ้นอย่างทุกข์ทรมาณที่สุดในชีวิต...ได้อุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์ สรรพชีวิต ที่ได้กระทำ และอธิษฐานจิตว่าถ้าหายจากโรคภัยครั้งนี้ จะลาออกจากราชการ มาถวายงานในเบื้องพระยุคลบาท ในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพียงอย่างเดียว และหลังจากออกรพ. ครั้งที่ 9 ดิฉันก็ขอน้องสะไภ้ (น้องแจ๋ว) ไปตามหาสมุนไพรที่ อ.สถาพร ได้แนะนำ... รีบหามาทาน ๆ ๆ หลังอาหาร 3 มื้อ มื้อละ 30 cc. ตามคำบอก ...ดิฉันฟื้นตัวได้อย่างแทบไม่น่าเชื่อ...เพราะสังเกตตัวเองในการให้เคมีบำบัดหรือครีโมครั้งที่ 10...11...12 ดิฉันแข็งแรงขึ้นมาก...ไม่เจ็บปวด...ไม่ทุรนทุราย...ทานข้าวได้ใน รพ. เมื่อเสร็จสิ้นการรับยาครีโม ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 5 พ.ย.2549 ฟักฟื้นเพียง 9 วัน ดิฉันก็กลับไปทำงานที่โคราชในวันที่ 14 พ.ย.49 แต่ทานยาลดลงเหลือ 2 มื้อ และเมื่ออาจารย์หมอให้ทำ CT สแกนน์ เพราะครบ 1 ปีของการ
-2-
ผ่าตัด ในวันที่ 30 เม.ย.50 ก็พบว่าไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ ทุกวันนี้...ดิฉันแข็งแรง สามารถวิ่งรอบสนามฟุตบอลได้ 3-4 รอบ
โดยไม่เหนื่อยน้ำหนักขึ้นมาเท่าเดิม
42 กก. ไม่เคยป่วยเป็นอะไรเลย โดยเมื่อพบอาจารย์หมอครั้งล่าสุดในวันที่ 6 ส.ค.50
นี้ อาจารย์หมอชมว่า...ดี เยี่ยม (ดิฉันต้องอยู่ในความดูแลของอาจารย์หมออีก
5 ปี ดูการกลับมาเป็นอีก) ดิฉันจึงอยากบอกว่า...อยู่ได้ด้วยกำลังใจ
(จากทุกๆคน) และสมุนไพรคาวตอง
ภาค 2 เมื่อวันที่
10 ธันวาคม 2555 ณ บ้านแสนสราญ บ้านของเพื่อน PRC
(เอ็ดดี้ และริบูรณ์)
ผ่านมาเกือบ 7 ปี หลังผ่าตัด...ให้ครีโม...พบอาจารย์หมอเป็นระยะ
ๆ ทุก 3-4 เดือน และทุกเดือน
มีนาคม อาจารย์หมอจะให้ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Whole abdomen CT) เมื่อเดือนมี.ค. 2555 เป็นครั้งล่าสุดที่ผ่านการ
CT ซึ่งผลก็ออกมาไม่มีการแพร่กระจาย อาจารย์หมอบอกว่า 95% ที่ไม่กลับมาแน่นอน
แต่ให้แน่ใจขอ CT อีกปี...จากการพบอาจารย์หมอเมื่อวันที่ 30 ก.ค.ปี 2555 นี้
ดิฉันปรึกษาเรื่องการผ่าตัดเพื่อต่อลำใส้ตามที่หมอเคยถามว่าจะเอาเข้าหรือไม่...ดิฉันก็มาคิดดูแล้วว่า...น่าจะลองผ่าตัดอีกครั้ง
เพราะตัวเองก็รู้สึกแข็งแรงขึ้นมาก...น้ำหนักก็ขึ้นมาเกือบ 47
กก. แล้ว
และไม่เคยเจ็บป่วยใช้ยารักษาอีกเลย
(ใช้สมุนไพรตัวเดิมเพียงอย่างเดียว วันละ 30 cc.)แต่ก็ยังก้ำ
ๆ กึ่ง ๆ ไม่รู้จะตัดสินใจ “เก็บลำไส้” หรือไม่?? อย่างไรก็ตามอาจารย์หมอก็ให้ไปเอาประวัติการผ่าตัดที่
รพ.พระมงกุฎฯ มา ทั้งนี้เพราะไม่ทราบว่าลำใส้ส่วนปลายที่ตัดอยู่ที่ใด
พร้อมกับให้ส่องกล้องดูความเรียบร้อยภายใน
ณ รพ.มหาราช ชม.ด้วย...
... และครั้งนี้ก็เป็นช่วงเวลาอีกครั้งหนึ่งที่ต้องเจ็บตัว... การส่องกล้อง...ลำใส้ เป็นไปด้วยความเจ็บปวด
ขณะนั้นก็ได้แต่อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรและสรรพสัตว์อีกครั้ง... และเมื่อนำประวัติจาก
รพ.พระมงกุฏมาพบอาจารย์หมอในวันที่ 27 สิงหาคม 2555 ผลวินิจฉัยของอาจารย์หมอที่ใช้ประวัติของ
รพ.พระมงกุฎ และผลจากการส่องกล้องพบว่า...ลำใส้ใหญ่ที่ตัดเหลือสั้นเกินไป ต้องนำลำไส้เล็กมาต่อ
หรือไม่ก็ต้องนำลำไส้ใหญ่ที่
ต้องเลาะออกจากผนังช่องท้องดึงมาต่อส่วนปลาย ซึ่ง “จะต้องเสียระบบการขับถ่ายอย่างมาก” ...มันทำให้การตัดสินใจของดิฉัน
ซึ่งตอนแรก ๆ ก็คิดว่าน่าจะอยู่อย่างคนปรกติเสียที...ตัดสินใจได้เร็วขึ้นว่า...อยู่อย่างเดิมนี้ดีกว่ามีถุงหน้าท้อง...เบิกราชการก็ได้
เสียส่วนเกินนิดหน่อย...อยู่กับเขามาตั้งเกือบเจ็ดปีแล้ว...
...ปัจจุบัน
ดิฉันก็ยังแข็งแรง...ดูจะแข็งแรงกว่าเมื่อครั้งปฏิบัติราชการอยู่ ทำหน้าที่เป็นคุณยาย ของหลาน 2 คน และกำลังจะเป็นคุณย่าของหลานในเดือนกุมภาพันธ์ 2556
นี้อีก...ชีวิตเป็นสุข
ได้สนองงานพระราชดำริฯตามที่ได้อธิษฐานจิตไว้ก่อนหายป่วย ...ลูก ๆ ก็มีงานทำ
และทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ...เป็นกำลังใจให้แม่ทำงานอย่างเป็นสุข...
สุดท้าย...ดิฉันอยากให้กำลังใจผู้ที่กำลังป่วย... โดยเฉพาะด้วยโรคมะเร็ง...ให้ท่านต่อสู้ ๆ ๆ
โรคร้ายให้ชนะด้วย “พลังใจของเรา”...พร้อมกับดูแลใส่ใจกับ 5 อ. คือ
1. อาหารที่ปราศจากสารปนเปื้อน
2. อากาศที่บริสุทธิ์
3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (ไม่ต้องหักโหม)
4. อุจจาระให้เป็นเวลา
และที่สำคัญที่สุด 5. อารมณ์ที่เบิกบาน (คิดดี...ปฏิบัติดี...ใจเป็นสุข) ขยายความ ยืนยัน ด้วยบทความที่แพทย์ระบุว่า ดีกับร่างกายที่สุด
- มาอ่านกันว่า อะไรเอ่ย ที่แพทย์ระบุชัดว่า ดีกับร่างกายที่สุด!!! นั่นคือ อารมณ์ดี อารมณ์เดียวเลยล่ะ!!! Click เพื่ออ่าน...
- อารมณ์ดีด้วยเสีบงเพลงบรรเลงเบาๆ เพราะๆ ขอแนะนำ CD Spa บรรเลง สุนทราภรณ์ +สุเทพ... Click เพื่ออ่าน!!!
-ขอแนะนำกล่องเพลงสุนทราภรณ์ ซึ่งบรรจุเพลงสุนทราภรณ์ถึง 1200 เพลง... Click เพื่ออ่านเรื่องวิทยุโบราณ...!!!
- มาอ่านกันว่า อะไรเอ่ย ที่แพทย์ระบุชัดว่า ดีกับร่างกายที่สุด!!! นั่นคือ อารมณ์ดี อารมณ์เดียวเลยล่ะ!!! Click เพื่ออ่าน...
- อารมณ์ดีด้วยเสีบงเพลงบรรเลงเบาๆ เพราะๆ ขอแนะนำ CD Spa บรรเลง สุนทราภรณ์ +สุเทพ... Click เพื่ออ่าน!!!
-ขอแนะนำกล่องเพลงสุนทราภรณ์ ซึ่งบรรจุเพลงสุนทราภรณ์ถึง 1200 เพลง... Click เพื่ออ่านเรื่องวิทยุโบราณ...!!!
No comments:
Post a Comment