Sunday, August 5, 2018

ไหล่หลุดเกิดจากอะไร มีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง?





แม้ว่ากระดูกและข้อต่อต่างๆ ในร่างกายคนเราจะมีความแข็งแรง แต่ก็มีโอกาสที่จะแตกหักหรือหลุดได้ง่ายหากได้รับการกระทบกระทั่งแรงๆ โดยเฉพาะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังอยู่เสมอเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับกระดูกและข้อต่อที่สำคัญในร่างกาย ซึ่งเราก็ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาการไหล่หลุด เพื่อให้ความรู้และเป็นแนวทางในการรับมือกับภาวะอันตรายที่เกิดขึ้นมาฝาก ศึกษาได้จากข้อมูลดังต่อไปนี้กันได้เลยค่ะ
รู้จักกับรูปร่างของข้อไหล่
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น อันดับแรกต้องมาทำความรู้จักกับรูปร่างของไหล่ก่อน โดยข้อไหล่ของคนเรานั้นจะมีลักษณะคล้ายกับลูกกอล์ฟที่ตั้งอยู่บนที ซึ่งลูกกอล์ฟก็คือหัวกระดูกต้นแขนและทีก็คือเบ้ากระดูกสะบัก นอกจากนี้ก็จะมีลักษณะเป็นแอ่งตื้นๆ เนื่องจากมีขอบกระดูกอ่อนต่อจากข้อไหล่ขึ้นไปเล็กน้อยเพื่อสร้างความมั่นคงแข็งแรงและมีความลึกของเบ้าพอสมควร
สาเหตุของอาการไหล่หลุด
ไหล่หลุดอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเพราะอุบัติเหตุที่ทำให้ข้อไหล่ถูกกระแทกอย่างรุนแรง เป็นผลให้ข้อไหล่เลื่อนหลุดออกมา เช่น การหกล้ม การปะทะกันในขณะเล่นกีฬารวมถึงการถูกฉุดแขนแรงๆ นอกจากนี้ก็อาจเกิดจากพันธุกรรมบางอย่างที่ทำให้เอ็นรอบข้อไหล่หลวมกว่าปกติ จึงทำให้ไหล่หลุดออกมาได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไปอีกด้วย โดยกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่ออาการไหล่หลุดมากที่สุด ก็คือกลุ่มนักกีฬาหรือผู้ที่ชอบเล่นกีฬาบ่อยๆ นั่นเอง
อาการที่เกิดขึ้น
เมื่อข้อไหล่หลุดไม่ว่าเกิดจากสาเหตุใด สามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ดังนี้
  • มีอาการปวดไหล่หรือแขนอย่างรุนแรงและไม่สามารถขยับแขนได้ เนื่องจากข้อไหล่ที่หลุดออกมาจากเบ้าจึงไม่สามารถบังคับการเคลื่อนไหวได้ตามต้องการ
  • อาจมีอาการแขนชาร่วมด้วยในบางราย ซึ่งเกิดจากการที่เส้นประสาทบริเวณข้อไหล่ได้รับการกระทบกระเทือน โดยกรณีนี้ถือว่ารุนแรงมาก ควรรีบรักษาโดยด่วนเพราะการที่เส้นประสาทได้รับความเสียหาย อาจส่งผลให้เป็นอัมพฤต อัมพาตได้
แนวทางในการรักษา
สำหรับวิธีการรักษา จะทำโดยการขยับข้อไหล่ให้เข้าที่ดังเดิมพร้อมกับการทำกายภาพบำบัด แต่อย่างไรก็ตามเมื่อข้อไหล่เคยหลุดครั้งหนึ่งแล้ว จะไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติและแข็งแรงดังเดิมได้ ผู้ป่วยจึงมีโอกาสเสี่ยงไหล่หลุดได้อีก จึงต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งมีวิธีการรักษาดังนี้
  • แพทย์ให้ยาระงับอาการปวด เพื่อให้อาการทุเลาลงและไม่เจ็บปวดมากนักในขณะทำการรักษา
  • ตรวจว่าข้อไหล่หลุดไปทางไหน และทำการดึงให้เข้าที่ จากนั้นก็จะยึดตรึงข้อไหล่ไว้ด้วยผ้าคล้องแขนประมาณ 2-3 สัปดาห์ หรือจนมั่นใจว่าข้อไหล่ติดดีแล้ว
  • ให้ผู้ป่วยเริ่มทำกายภาพบำบัด โดยการบริหารกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อไหล่ เพื่อให้สามารถกลับมาใช้งานได้ปกติ โดยอาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ อุดมไปด้วยแคลเซียม เพื่อบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ซึ่งจะช่วยให้ฟื้นฟูเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงโอกาสที่ข้อไหล่จะหลุดในครั้งต่อไป

บำรุงข้อและกระดูก 60 แคปซูล 300 บาท สั่งซื้อ!!!

ข้อควรระวังเมื่อข้อไหล่หลุด
เนื่องจากข้อไหล่เป็นส่วนสำคัญของร่างกายและมีเส้นประสาทมากมายอยู่ในบริเวณนี้ จึงควรระมัดระวังเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยมีอาการข้อไหล่หลุด เพราะหากพลาดเพียงนิดเดียวนั่นอาจหมายถึงการเป็นอัมพฤตอัมพาต และอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายส่วนอื่นๆ ได้อีกด้วย ดังนั้นเมื่อพบผู้ป่วยข้อไหล่หลุด จึงควรระมัดระวังดังนี้
  • เมื่อพบผู้ป่วยข้อไหล่หลุด ไม่ควรพยายามดึงข้อไหล่กลับเข้าที่กันเอง เพราะอาจดึงไม่ถูกวิธีจนทำให้ข้อไหล่เกิดการผิดรูปยิ่งกว่าเดิม และหากภาวะข้อไหล่หลุดเกิดร่วมกับกระดูกแตกหักด้วยก็จะเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยเป็นอย่างมาก ดังนั้นควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์เป็นผู้ทำการรักษาเองดีกว่า
  • ในกรณีข้อไหล่หลุดจะต้องตรวจให้ละเอียดก่อนทำการรักษาเพราะอาจมีอาการบาดเจ็บของเส้นเลือดและเส้นประสาทร่วมด้วย ซึ่งจะเป็นอันตรายได้
ไหล่หลุด เป็นอาการที่น่ากลัวและทำให้เกิดอาการเจ็บปวดได้มาก ซึ่งเมื่อพบว่าตนเองไหล่หลุด ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที อย่าได้นิ่งนอนใจเด็ดขาดและที่สำคัญควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาในระหว่างการรักษานั่นเอง อย่างไรก็ตามควรพยายามระมัดระวังตัวเองไม่ให้เกิดอาการไหล่หลุดดีกว่า เพราะแม้จะรักษาได้แต่ก็อาจไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม 100%

ไหล่หลุด (Shoulder Dislocationเป็นอาการที่ข้อไหล่หลุดออกจากเบ้า ส่วนมากมักจะหลุดไปทางด้านหน้า เนื่องจากข้อไหล่เป็นส่วนที่เคลื่อนไหวได้หลายทิศทาง ทำให้เป็นข้อต่อที่หลุดได้บ่อยที่สุดในร่างกาย ไหล่หลุดสามารถสังเกตเห็นได้ชัดจากลักษณะของไหล่ที่แปลกไป และพบว่ามีอาการปวดที่หัวไหล่หรือบริเวณรอบข้างอย่างรุนแรง ไม่ควรพยายามเคลื่อนหัวไหล่กลับด้วยตนเอง เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายหรือพบอาการที่รุนแรงขึ้น ผู้ที่เคยมีประวัติอาการไหล่หลุดอาจสามารถเกิดอาการซ้ำได้ในภายหลัง หากพบว่ามีอาการไหล่หลุดควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
อาการไหล่หลุด
ไหล่หลุดเป็นภาวะที่กระดูกข้อไหล่หลุดออกจากเบ้า สามารถหลุดได้หลายรูปแบบ เช่น หลุดไปด้านหน้า หลุดไปด้านหลัง หรือหลุดลงมาด้านล่าง ที่พบได้มากมักหลุดไปทางด้านหน้า อาจหลุดทั้งข้อไหล่หรือหลุดเพียงบางส่วน อาการทั่วไปที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัด คือ รูปร่างของไหล่ที่ผิดแปลกไป มีลักษณะเป็นเหลี่ยม ๆ สามารถมองเห็นกระดูกที่เคลื่อนออกและอาจมีลักษณะเป็นก้อนนูนใต้ผิวหนังได้ รวมถึงมีอาการปวดรุนแรง บวม ฟกช้ำ ไม่สามารถขยับหรือยกแขนได้ตามปกติ หรือมีอาการชา รู้สึกเจ็บเหมือนมีเข็มแทงในบริเวณรอบข้าง เช่น คอหรือแขน และอาจมีความเจ็บปวดเพิ่มมากขึ้นจากอาการกล้ามเนื้อกระตุกที่บริเวณรอบหัวไหล่
หากพบว่ามีอาการไหล่หลุด ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน และสามารถปฏิบัติตัวเบื้องต้นตามแนวทางได้ดังต่อไปนี้
  • ไม่ควรพยายามเคลื่อนหัวไหล่กลับตำแหน่งเดิมด้วยตัวเอง และลดการขยับแขน เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อ เอ็น เส้นประสาท เส้นเลือด หรือกล้ามเนื้อในบริเวณรอบข้อไหล่ได้
  • ใช้หมอนหรือม้วนผ้าสอดไว้ระหว่างแขนและลำตัว
  • ประคองแขนโดยใช้ที่คล้องแขน โดยงอแขนช่วงล่างขึ้นให้อยู่ในมุมฉากหรืออยู่ที่บริเวณหน้าอก
  • ประคบเย็นด้วยน้ำแข็งจะสามารถช่วยลดอาการปวดและบวมที่บริเวณรอบข้อไหล่ได้
สาเหตุของไหล่หลุด
ข้อไหล่เป็นส่วนที่สามารถขยับได้หลายทิศทางจึงเกิดโอกาสที่จะหลุดได้บ่อยที่สุดในร่างกาย อายุเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการไหล่หลุด โดยพบว่าเด็ก วัยรุ่น หรือผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงของการเกิดอาการไหล่หลุดได้มากที่สุด หรืออาจเป็นผลมาจากปัจจัยทางพันธุกรรมในผู้ที่เคยเกิดอาการไหล่หลุดอาจสามารถเกิดอาการซ้ำได้ในภายหลัง สาเหตุของอาการไหล่หลุดที่พบได้มีดังต่อไปนี้
  • การหมุนไหล่ที่รุนแรงเกินไป
  • การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา เช่น ฟุตบอล วอลเลย์บอล รักบี้ ปีนเขา
  • การบาดเจ็บจากการขับขี่รถจักรยานยนต์
  • การบาดเจ็บจากการล้ม โดยแขนกระแทกลงพื้น
  • ผู้ที่ร่างกายมีความยืนหยุ่นสูงมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการไหล่หลุดได้มากกว่า
การวินิจฉัยไหล่หลุด
สามารถวินิจฉัยอาการไหล่หลุดได้โดยแพทย์จะทำการตรวจร่างกายเบื้องต้น จากนั้นจะทำการตรวจอาการบวม การไหลเวียนของเลือด หรือความผิดปกติในบริเวณรอบ ๆ หากพบว่าอาจมีความเสียหายเกิดขึ้นที่กระดูก แพทย์จะทำการเอกซเรย์เพื่อตรวจสภาพของกระดูกหรือข้อต่อที่บริเวณไหล่ว่ามีกระดูกหักหรือไม่ ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องทำการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อตรวจหาความเสียหายอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในบริเวณนั้นต่อไป
การรักษาไหล่หลุด
ในการรักษาสามารถทำได้ด้วยกันหลายวิธี ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละราย โดยปกติผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นหลังได้รับการรักษา และในระยะเวลาประมาณ 3-4 เดือน แพทย์จะมีแนวทางในการรักษาดังต่อไปนี้
  • การจัดกระดูกให้เข้าที่ (Manipulation) แพทย์จะทำการจัดให้กระดูกกลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิม โดยพิจารณาจากอาการบวมหรืออาการเจ็บของผู้ป่วย อาจต้องใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาระงับประสาท หรือยาชาร่วมด้วยก่อนการรักษา โดยแพทย์จะให้ผู้ป่วยนั่งบนเตียง จากนั้นจะทำการหมุนแขนจนกว่าข้อไหล่จะกลับเข้าที่ อาการเจ็บจะลดลงหลังจากที่แพทย์จัดกระดูกให้เข้าที่ อาจต้องทำการเอกซเรย์เพิ่มเติมเพื่อตรวจว่ากระดูกกลับเข้าไปที่เบ้าเรียบร้อยแล้ว
  • การตรึงอวัยวะ (Immobilization) แพทย์จะใส่ที่คล้องแขนให้กับผู้ป่วย หลังเข้ารับการรักษาด้วยการจัดกระดูกให้เข้าที่เพื่อลดการเคลื่อนไหวของแขนและข้อไหล่เป็นเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ระยะเวลาในการใส่ที่คล้องแขนจะขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละราย
  • การใช้ยา ปกติจะสามารถพบอาการที่ดีขึ้นได้หลังแพทย์ทำการรักษาให้ข้อต่อกลับเข้าที่ หรืออาจให้ผู้ป่วยรับประทานยาแก้ปวดหรือยาคลายกล้ามเนื้อร่วมด้วยเพื่อบรรเทาอาการปวด
  • การฟื้นฟูสมรรถภาพ เพื่อฟื้นฟูและพัฒนาความแข็งแรงและการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ให้กลับสู่สภาพเดิม เป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยเวลา ไม่ควรรีบทำการฟื้นฟูสมรรถภาพเพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นได้
  • การผ่าตัด แพทย์อาจเลือกทำการผ่าตัดแบบเปิดหรือผ่าตัดแบบส่องกล้อง โดยขึ้นอยู่กับสาเหตุของผู้ป่วยแต่ละรายเพื่อรักษาอาการข้อต่อ เอ็น เส้นประสาท หรือหลอดเลือดฉีกขาดหรือได้รับความเสีย รวมถึงในผู้ที่มีอาการไหล่หลุดบ่อยครั้ง ผู้ที่พบว่ามีกระดูกหักร่วมด้วย หรือผู้ที่มีความยืดหยุ่นของข้อต่อที่มากกว่าปกติ (Hyperlaxity) ซึ่งผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีจะมีอัตราการเกิดซ้ำของอาการไหล่หลุดได้มากกว่า
หลังจากทำการรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว ผู้ที่มีอาการไหล่หลุดสามารถดูแลรักษาเพิ่มเติมที่บ้านได้ โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้
  • ลดการเคลื่อนไหวที่ทำให้เกิดอาการเจ็บหรือปวดที่บริเวณไหล่ และหลีกเลี่ยงการยกของหนัก
  • ประคบเย็นครั้งละประมาณ 15-20 นาที ในช่วง 1-2 วันแรก เพื่อบรรเทาอาการปวดและบวม เมื่อพบว่ามีอาการที่ดีขึ้นแล้วอาจประคบร้อนเพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อครั้งละไม่เกิน 20 นาที
  • รับประทานยาบรรเทาอาการปวด เช่น ไอบูโพรเฟน นาพรอกเซน หรืออะเซตามิโนเฟน เพื่อบรรเทาอาการปวด
  • ออกกำลังกายภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะข้อไหล่ติด
ภาวะแทรกซ้อนของไหล่หลุด
ควรรีบไปพบแพทย์หากมีอาการที่รุนแรง ผู้ที่มีประวัติอาการไหล่หลุดเกิดขึ้นหลายครั้ง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น
  • กล้ามเนื้อหรือเอ็นฉีกขาด
  • เส้นประสาทหรือหลอดเลือดได้รับความเสียหาย
  • อาการไหล่คลอน โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการไหล่หลุดรุนแรงหรือผู้ที่มีประวัติอาการไหล่หลุดเกิดขึ้นหลายครั้ง
ไหล่หลุดสามารถเกิดขึ้นซ้ำได้ โดยขึ้นอยู่กับการสมานแผลของเนื้อเยื่อหลังเข้ารับการผ่าตัดที่บริเวณข้อไหล่ในการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นในครั้งแรก รวมถึงอายุของผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปีและในกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป จะมีโอกาสการเกิดซ้ำของอาการไหล่หลุดได้มากกว่า
การป้องกันไหล่หลุด
ไหล่หลุดมักมีสาเหตุมาจากการกระแทกจากอุบัติเหตุต่าง ๆ รวมถึงการล้มในผู้สูงอายุ ดังนั้นจึงสามารถป้องกันได้ด้วยการเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ชีวิตประจำวัน หรือปฏิบัติตามวิธีดังต่อไปนี้

  • ใช้ราวจับในขณะขึ้นและลงบันได
  • ควรมีชุดปฐมพยาบาลไว้ใกล้ตัวในกรณีฉุกเฉิน
  • ใช้แผ่นกันลื่นในบริเวณที่เปียก เช่น ห้องน้ำ
  • เก็บกวาดบ้านให้โล่ง หรือจัดของให้เป็นระเบียบ เพื่อป้องกันการสะดุดล้ม
  • ปลูกฝังพฤติกรรมให้เด็กมีความระมัดมะวังมากขึ้น
  • คอยสอดส่องดูแลเด็ก ๆ ในขณะเล่นหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ
  • สวมอุปกรณ์ป้องกันในขณะเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ
  • หลีกเลี่ยงการเหยียบหรือยืนในบริเวณที่อาจทำให้ล้มง่าย
  • หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อและข้อต่อ

No comments:

Post a Comment