อ่านบทความนี้’ช้า-ช้า’จะให้อะไรหลายอย่างจริงๆน่ะจะบอกให้
"อีกห้าปี มันจะต่างจากตอนนี้มากเลย"
เมื่อวานบอกคนใกล้ตัวไปแบบนั้น, ห้าปีเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น แป๊บเดียวก็ผ่านไปแล้ว แต่ถ้าเทียบกับเวลาในชีวิต หากใครอยู่ถึง 80 ปี ห้าปีก็จะเท่ากับหนึ่งในสิบหกของชีวิตเขา ถ้าใครมีอายุขัย 60 ปี ห้าปีก็จะเท่ากับหนึ่งในสิบสองของชีวิต
แปลว่าเราจะมี "ห้าปี" ได้ไม่เกินยี่สิบครั้ง
แต่ "ห้าปี" ที่กำลังจะมาถึงดูเป็นห้าปีที่น่าจะเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ซึ่งความเปลี่ยนแปลงในแต่ละ "ห้าปี" นั้นแตกต่างกันและไม่เท่ากัน
ช่วง "ห้าปี" ที่ผ่านมา คือ 35-40 ปี เป็นช่วงเวลาที่เห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคนรุ่นเดียวกันเยอะ คิดเอาเองว่ามันเป็นช่วงเวลาที่กราฟชีวิตเริ่มเดินลงจากยอดสูงสุด เราผ่านจุดสูงสุดของชีวิตกันมาแล้ว (นั่นคือ 31-35) และในช่วงเวลานี้ชีวิตของเราก็ค่อยๆ ถดถอยลง ทั้งร่างกาย ความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงพลังที่อยากทำสิ่งต่างๆ จึงเป็นช่วงเวลาที่คนในวัยเดียวกันปั่นป่วน สับสน และเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตค่อนข้างมาก
ขณะเดียวกันช่วงวัย 35-40 ปี ก็เป็นช่วงเวลาแห่งการ "เริ่มต้นใหม่" เหมือนเรากำลังเข้าสู่ "ภาคใหม่" ของชีวิต บางคนอาจรู้สึกเหมือนกำลังจะเริ่มต้นใหม่กับอะไรสักอย่าง
จึงพบการตายจากตัวตนหนึ่ง เพื่อเกิดใหม่เป็นอีกตัวตนหนึ่งมากมายเต็มไปหมด
ตายจากการเป็นพนักงานออฟฟิศ เกิดใหม่เป็นเจ้าของธุรกิจแบเบาะ ตายจากการเป็นลูกน้อง เกิดใหม่เป็นหัวหน้าที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ ตายจากการเป็นหนุ่มไร้สาระ เกิดใหม่เป็นคุณพ่อที่ต้องคอยดูแลลูก
หากสังเกตดีๆ จะพบว่าเราเปลี่ยนสถานะจากผู้ที่ dependent (พึ่งพา) คนอื่นมาสู่การเป็น independent (อิสระ) แล้วกำลังกลับด้านคือกลายเป็นผู้ที่ให้คนอื่นพึ่งพาบ้างแล้ว
บทบาทใหม่ของเรา นอกจากต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว เรายังเป็นที่มั่นคอยดูแลรับผิดชอบคนอื่นๆ รอบตัวอีกด้วย
เหมือนต้นไม้ที่แก่พอ และเคลื่อนตัวเข้าใกล้ความตาย ก็ต้องให้กำเนิดสิ่งใหม่
บางคนสนุกกับบทบาทใหม่ บางคนเหน็ดเหนื่อยกับอุปสรรค บางคนอ่อนล้ากับความเปลี่ยนแปลงหลากรูปแบบ นี่คือช่วงเวลาที่ป่วนปั่นอย่างยิ่ง
เพราะต่อให้เราไม่อยากเปลี่ยน เราก็จะถูกบังคับให้เปลี่ยน ที่ทำงานอาจไม่สามารถจ่ายเงินเดือนให้ "ผู้ใหญ่" อย่างเราได้อีกต่อไป ครอบครัวของแฟนอาจเร่งเร้าให้แต่งงานและอยากอุ้มหลาน แต่งงานแล้วก็ต้องใช้เงินสร้างบ้านหรือซื้อบ้าน รวมถึงอาการเจ็บป่วยของพ่อแม่ที่เดินทางมาถึงวัยที่ต้องเข้าโรงพยาบาล มีความเปลี่ยนแปลงใหม่ที่เกิดขึ้นนอกแผนมากมายเต็มไปหมด
35-40 ปี จึงเป็นวัยที่แตกต่างจาก 31-35 ปี อย่างยิ่ง ทั้งที่หากดูด้วยกรอบเวลามันก็ไม่ได้ห่างจากกันมากเท่าไรเลย
...
41-45 ปี ร่างกายน่าจะเสื่อมถอยมากขึ้นอีก พวกเราน่าจะก้าวเข้าสู่ช่วงที่ค้นพบโรคร้ายในร่างกายตัวเอง ไม่แปลกนักหากจะมีเพื่อนบางคนจากไปในช่วงเวลานี้ หรือบางคนอาจพบกับโรคที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปเป็นอีกแบบ
จิตวิญญาณภายในน่าจะโหยหาความสงบมากขึ้น และเบื่อหน่ายการแข่งขันที่กดดันแบบหนุ่มสาว สิ่งนี้น่าจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในแง่การดำเนินชีวิต เป้าหมาย และความหมายของการมีชีวิตอยู่
สภาวะจิตใจบางคนอาจเครียดมากขึ้น ด้วยภาระใหม่ที่ต้องดูแลและยังไม่เคยชิน บริษัทที่ก่อตั้ง ลูก รวมถึงพ่อแม่ที่ป่วยไข้ กับบางคน-ความเปลี่ยนแปลงเรื่องการงานและครอบครัวอาจเป็นเรื่องใหม่ที่ต้องใช้เวลารับมือ
สิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ทั้งหมดนั้นไม่มีอะไรการันตีกับเราได้ว่าจะยังอยู่เหมือนเดิม ตอนที่เราอายุ 45 ปี ความสามารถ ประโยชน์ของเรากับโลกใบนี้ด้านการงาน งานที่ทำอยู่ พ่อแม่ วงสนทนาของเพื่อนซึ่งอาจแยกย้ายไปบ้างเพราะชีวิตเปลี่ยนแปลง รวมถึงลูกน้อยที่จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเติบโตซึ่งก็จะกระทบชีวิตเราเช่นกัน
เป็น "ห้าปี" ที่ผูกโยงสัมพันธ์กับผู้คน ผู้คน ผู้คน เราขึ้นอยู่กับเขา เขาขึ้นอยู่กับเรา ไม่ได้ทิ้งกันง่ายๆ และเราก็ไม่ได้ "อินดี้" แบบตอนหนุ่มสาวอีกต่อไปแล้ว เราไม่ได้อิสระเสรีขนาดนั้น
ช่วงวัย 45 ปี อาจมีบางห้วงที่รู้สึกอยาก "ทิ้ง" ทั้งหมดนี้แล้วเดินไปบนเส้นทางโล่งๆ แต่ก็ทิ้งไม่ได้ เพราะนี่คือโลกรอบตัวที่เราก่อร่างขึ้นมา เรามีชีวิตอยู่ในมัน มันมีชีวิตอยู่ในเรา
"อิสระ" อาจเป็นสิ่งที่โหยหาอีกครั้ง และได้ตระหนักว่า-ไม่ง่าย
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่แบบแผนชีวิตของทุกคน หากเป็นภาพรวมหยาบๆ ที่อาจมีจุดร่วมบางส่วนของคนในวัยใกล้เคียงกัน บางคนย่อมเลือกเดินเส้นทางที่แตกต่างไป นั่นปกติ
ว่าง่ายๆ อีกห้าปีจากนี้ เพื่อนบางคนจะมีลูก เพื่อนบางคนจะกำลังรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของลูก เพื่อนบางคนอาจสูญเสียพ่อแม่ เพื่อนบางคนอาจพบโรคร้าย เพื่อนบางคนอาจพบว่าหน้าที่การงานที่ทำนั้นถดถอย เพื่อนบางคนอาจต้องวางมือจากบางอย่างและเริ่มต้นใหม่กับบางสิ่ง ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
เพื่อนที่ว่านั้นก็อาจเป็นตัวเราเองเช่นกัน, ไม่มีใครรู้
หากสิ่งที่ว่ามายังไม่เกิดขึ้นในช่วง 41-50 ปี ก็จะเกิดขึ้นในช่วง 45-50 ปี ชีวิตเราจะมีหน้าตาต่างไปจากตอนนี้มาก
...
เราเดินทางกันมาเกินครึ่งทางของชีวิตแล้ว และได้ผ่านช่วงเวลาสดใส เต็มไปด้วยพลัง รวมถึงจุดสูงสุดของชีวิตกันมาแล้ว ก็ใช่แหละ เราสามารถใช้ชีวิตให้ร่าเริงเหมือนเด็ก มีหัวใจวัยรุ่นไม่ยอมแก่ ย้อมหัวสีเขียว ปีนหน้าผา โดดเฮลิคอปเตอร์ ไปพิชิตไอรอนแมน อะไรต่างๆ นานาได้อยู่ แต่อีกมุมก็คงต้องยอมรับว่าเราเดินทางกันมานานพอสมควรแล้ว และคนอื่นในชีวิตเราก็เดินทางกันมาเนิ่นนานเช่นกัน
เราคงเรียนรู้ที่จะลาจาก และจัดการกับมันได้ดีขึ้นเรื่อยๆ พอๆ กับการเรียนรู้ที่จะเริ่มต้นใหม่ เราคงเคยชินกับวัฏสงสารของความรู้สึกสุข-ทุกข์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และกฎอนิจจังของสรรพสิ่งได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่กว่าจะเดินทางไปถึงวันนั้นก็คงต้องผ่านช่วงเวลาที่สับสนป่วนปั่นพอสมควร
อีกห้าปีมันจะไม่เหมือนตอนนี้แล้วนะ
กอดพ่อแม่ตอนที่เขายังอยู่ เล่นกับลูกตอนที่เขายังอยากเล่นกับเรา ใช้ร่างกายตัวเองให้เต็มร้อย ขณะที่มันยังอนุญาตให้เราใช้งาน ให้ร่างกายพาตัวเราไปในที่ที่อยากไปในเวลาที่มันยังทำได้ ล้อมวงสนทนากับเพื่อนเมื่อมีโอกาส เพราะใครคนหนึ่งอาจหายไปวันใดวันหนึ่งด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ ดูแลคนรัก หอมแก้ม เล่นมุกตลกในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน สัมผัสความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา แล้วเราจะรู้เองว่าควรทำอย่างไรกับชีวิต กับตัวเอง และกับคนรอบตัว
ไม่ใช่เราที่เปลี่ยน, คนรอบตัวก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ โลกเองก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
อีกห้าปีมันจะไม่เหมือนตอนนี้แล้วนะ
แต่ถึงตอนนั้น เราก็คงเติบโตขึ้นแล้วพบคำตอบเองแหละว่า สิ่งที่หลงเหลือจากความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้น มีสิ่งใดที่เราจะเก็บกอบขึ้นมาปะติดปะต่อเพื่อสร้างรวงรังเล็กๆ เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป
บางสิ่งที่คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงใหญ่อาจไม่เกิดขึ้น ขณะที่สิ่งที่ไม่คิดไว้ก่อนเลยว่าจะเปลี่ยนก็อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงจนเราตั้งตัวไม่ทัน
41-50 ปี นี่คือช่วงเวลาที่เราอยู่อาศัยในโลกที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงที่เราไม่อาจควบคุม
ทั้งหมดนั้นทำให้เราตระหนักอย่างยิ่งว่า เราควรใช้ชีวิตอย่างไร ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งหมดนี้
จู่ๆ ผมก็เห็นภาพไอศกรีมที่กำลังละลาย
อร่อย ยวนใจ เสื่อมสลาย
แล้วผมก็หยิบช้อนขึ้นมาตักใส่ปาก
ไม่รีบจนไม่ได้ลิ้มรสชาติ แต่ไม่ช้าเสียจนไม่ทันมันละลาย
เราจะได้ลิ้มรสบางส่วน และต้องปล่อยบางส่วนละลายไป
41-50 ปี, ช่วงชีวิตที่เหมือนไอศกรีม
จากการศึกษาและได้ร่วมวิจัย สมุนไพรคาวตอง ในแนวทางของเภสัชศาสตร์สเต็มเซลล์มากกว่า 16 ปี โดยการพัฒนาเภสัชศาสตร์ สารใหม่ๆจากสมุนไพรคาวตอง ผ่านวิธีการหมักแบบชีวภาพที่ควบคุมระบบนิเวศน์ในถังหมักแบบเฉพาะและการทำให้แห้งโดยไม่ผ่านความร้อน ( Dynamic Freeze Drying )จึงทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยดูแลสุขภาพแบบองค์รวม จึงเป็นนวัตกรรมใหม่ที่สร้างความภาคภูมิใจของทีมวิจัยของคนไทย ที่มีเภสัชกรอุดม รินคำ ร่วมวิจัย และนำมาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของ Herborg
ภก.อุดม รินคำ ซึ่งเป็นผู้คิดค้นสูตร การผลิต “สมุนไพรคาวตอง” โดยได้รับอนุสิทธิบัตรเกี่ยวกับสมุนไพรคาวตอง 2 ใบ และได้นำสูตรมาพัฒนาให้ดีขึ้นจนเกิดขึ้นมาเป็นสมุนไพรที่ดีที่สุด
มีส่วนประกอบของพลูคาวสกัด และสารเบต้าคลูแคน
· ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวจำพวก NK CELL (เซลล์(Natural Killer Cells) ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและฆ่าเซลล์มะเร็งแบบเฉพราะ และยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ
· ช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพ
· ช่วยปรับสมดุลการทำงานอวัยวะต่างๆของร่างกาย
******** เลขที่อย. 24-1-09957-1-0091
******** ราคา 1,950 บาท โปรโมชั่น ซื้อ 1 แถม 1
******** ค่าส่งนิ่มซี่เส็ง 150 บาท
******** ค่าส่งนิ่มซี่เส็ง 150 บาท
สอบถามเพิ่มเติม >> คลิกแอดไลน์เลย
No comments:
Post a Comment