รากผักชี (Coriander root) เป็นสิ่งที่คนไทยใช้ในการประกอบอาหารมาตั้งแต่อดีต ถ้าไม่ใส่ก็เหมือนกับขาดอะไรไปสักอย่างหนึ่ง ผักชีเป็นผักที่มีกลิ่นหอมจึงสามารถนำมาทำอาหารได้แทบทุกส่วนของต้น ไม่ว่าจะเป็นลำต้น ราก ใบและลูก รากผักชีมักใช้ร่วมกับกระเทียมแต่งกลิ่นแกงจืดให้หอม อีกทังยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย
ผักชี เป็นผักที่มีกลิ่นหอมจึงสามารถนำมาทำอาหารได้แทบทุกส่วนของต้น ไม่ว่าจะเป็นลำต้น ราก ใบและลูก โดยมีสรรพคุณทางยาดังนี้คะ
• มีฤทธิในการขับลม ขับปัสสาวะ
• บำรุงและรักษาสายตา
• ลดระดับน้ำตาลในเลือด
• แก้อาการหวัด อาการไอ
• แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน
• บำรุงกระเพาะอาหาร
• ช่วยกระตุ้นการทำงานของเลือดพลาสมา
• บำรุงและรักษาสายตา
• ลดระดับน้ำตาลในเลือด
• แก้อาการหวัด อาการไอ
• แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน
• บำรุงกระเพาะอาหาร
• ช่วยกระตุ้นการทำงานของเลือดพลาสมา
"รากผักชี" เป็นส่วนที่มีความหอมลึก ๆ นุ่มกว่าใบผักชีเสียอีก รากผักชีเป็นที่นิยมสำหรับใส่เมนู ไก่ผัดซีอิ้ว, แกงจืดเต้าหู้, แกงจืดไข่น้ำ,ไข่พะโล้, ซี่โครงหมูอบน้ำผึ้ง,ทอดมันกุ้ง, กุ้งอบวุ้นเส้น, เป็ดย่าง, ต้มข่าไก่, แกงเขียวหวานไก่, ไก่ผัดเผ็ด, พะแนงไก่ ฯลฯ ทำให้น้ำแกงมีกลิ่นหอมชวนน่าลงไหลน่ารับประทานยิ่งนัก หรือรากผักชีสับละเอียดรวมกันเป็นสามสหายยอดนิยมอย่าง รากผักชีซอย + กระเทียมซอย + พริกไทยเม็ด โขลกรวมกันเอาไปหมักรวมกับ ไก่ หมู กุ้ง ฯลฯ ไว้ประมาณชั่วโมงก่อนนำไป ทอด ปิ้ง ย่าง ก็สุดสร้างสรรค์เมนูอร่อย ๆ ให้กับคนไทยมากมาย หรือจะเอารากผักชีสับละเอียดซัก 1ช้อนชา ใส่ลงไปเป็นส่วนผสมในน้ำพริกแกงบางเมนูก็สุดแสนจะทำให้เมนูพวก แกงคั่ว แกงเผ็ด หลายๆ เมนูหอมหวน รสชาติเยี่ยมมานักต่อนักคะ .... เรื่องแบบนี้ จริงมั๊ย
ขอขอบคุณบทความจาก : samunpri.com
VDO อกไก่นุ่มหมักสมุนไพร กินคลีน Healthy Food
| เอสเซ่บิวตี้ : Esse Beauty by Modzi
อกไก่นุ่มอบสมุนไพร ทำง่าย อร่อย ไม่แพง ประหยัดทั้งเงินและเวลา คลีนด้วย ไม่เค็ม ดีต่อสุขภาพ ขอบคุณ เอสเซาบิวตี้ และ กระทู้จาก Pantip เครื่องปรุง อกไก่ นำมาลอกหนังออก
รากผักชี กระเทียม พริกไทยดำ ดำๆๆๆ
ผักชี เบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชา นมจืด หรือนมสด 150 ml
ซอสหอยนางรม
ประโยชน์ของการกินกระเทียมสด (ร้านอาหารเกาหลี หลักๆคือกระเทียม)
เราเริ่มมีความรู้กันแล้วว่าการกินกระเทียมสดทุกวัน ป้องกันโรคได้มากมาย คนที่กินกระเทียมสดๆ ได้ก็ดีไป แต่หลายคนกินไม่ได้เพราะรสชาติฉุนรุนแรงเกินไป มักจะกินเป็นกระเทียมเจียว หรือปรุงรสอื่นๆ ซึ่งทำลายคุณค่าบางประการของกระเทียมไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้น วันนี้ ชีวอโรคยา จึงขอนำเสนอวิธีกินกระเทียมสดแบบง่ายๆ คือ กินน้ำพริกหรือยำที่ใส่กระเทียมสด แต่ที่ง่ายกว่านั้นคือ ตำหรือซอยกระเทียมเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ในน้ำปลาพริก ซึ่งน้ำปลาจะทำให้รสชาติของกระเทียมสดอร่อยขึ้น กินง่ายขึ้น กินได้ทุกมื้อ ทุกวัน
กินกระเทียมสดแค่วันละ 1-2 กลีบ หรือมากที่สุดได้ 7-12 กลีบ ก็ทำให้สุขภาพดี ป้องกันโรคร้ายได้มากมาย
กินกระเทียมสดทุกวัน ป้องกันมะเร็ง ความดันสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด รองคณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล แนะรับประทานกระเทียมวันละ 7–12 กลีบเสริมสร้างสุขภาพ เนื่องจากมีสารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง ป้องกันโรคหวัด โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง ช่วยในการย่อยอาหารและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
รศ.พร้อมจิตต์ ศรลัมภ์ รองคณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า กระเทียมเป็นสมุนไพรสารพัดประโยชน์ที่คนไทยคุ้นเคยกันมานาน ในหัวกระเทียม มีสารเป็นประโยชน์ต่อร่างกายคือ น้ำมันหอมระเหย วิตามินเอ วิตามินบี ๒ วิตามินซี แคลเซี่ยม เหล็ก แมงกานีส แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ซึ่ง น้ำมันหอมระเหยมีสารที่มีซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบอยู่หลายชนิด ทำให้กระเทียมมีกลิ่นรุนแรง ส่วนสารสำคัญในกระเทียมคือ อาลิอิน
ถ้าหากหั่นกระเทียม ความร้อนหรืออากาศจะทำให้เอนไซน์ในกระเทียมจะย่อยสลาย “อาลิอิน” ให้เป็น “อาลิซิน” เป็นสารที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันโรคหวัด อาการไอ โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ช่วยในการย่อยอาหารและช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้เพิ่มขึ้น
รองคณบดีคณะเภสัชศาสตร์ กล่าวต่อว่า นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่มีกระเทียมอยู่ในจานอาหาร ช่วยแต่งกลิ่น แต่งรส ซึ่งการรับประทานกระเทียมสดจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก เช่น อาจซอยกระเทียมใส่ในยำ หรือในน้ำปลาพริก โดยให้รับประทานวันละ 7 – 12 กลีบ เนื่องจากรับประทานมากอาจจะระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารโดยเฉพาะคนที่แพ้ บางคนไวต่อสารในกระเทียมอาจมีอาการปวดท้องได้
ส่วนหญิงตั้งครรภ์หรือผู้ที่ให้นมบุตร รับประทานกระเทียมที่อยู่ในอาหารได้ แต่ไม่ควรรับประทานในแง่อาหารเสริม เพราะกลิ่นและรสของกระเทียมสามารถที่จะออกมาทางน้ำนม อาจทำให้เด็กทารกไม่ชอบนมแม่ หรือคนไข้ที่มีอาการเส้นเลือดและสมอง แล้วแพทย์ให้ยาที่ละลายลิ่มเลือด ก็ไม่ควรรับประทานกระเทียม เพราะกระเทียมมีฤทธิ์ในการทำให้เลือดใส ป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด ดังนั้น จะไปเสริมฤทธิ์ยาแผนปัจจุบัน เวลาเกิดแผลจะทำให้เลือดหยุดไหลช้า
รศ.พร้อมจิตต์ แนะให้รับประทานฝรั่งระงับกลิ่นปากหลังรับประทานกระเทียม น้ำมันหอมระเหยในฝรั่งจะไปกลบกลิ่นกระเทียม
news-medical.net บอกว่ากระเทียมมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย และได้มีการพิสูจน์แล้วว่า ช่วยลดความดันโลหิต, ลด ischemic injury , ลดระดับ serum cholesterol ทั้งยังยับยั้งการทำงานของเกล็ดเลือดและเพิ่มการละลายลิ่มเลือดด้วย นอกจากนี้กระเทียมยังช่วยเพิ่ม arterial oxygenation ในผู้ป่วย pulmonary dysfunction จากการศึกษาของ University of Alabama at Birmingham โดยให้ allicin (สารสำคัญของกระเทียม) ในขนาดต่ำๆ ทุกวันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ แก่หนูขาวที่ทำให้เกิด hypertension ด้วย monocrotaline พบว่า เฉพาะ allicin (ไม่ใช่ส่วนของกระเทียมทั้งหมด) ช่วยป้องกันการดำเนินของโรคในหนู hypertension ได้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาอื่นที่พบว่า การกินอาหารเสริมประเภทกระเทียมจะช่วยป้องกัน coronary vascular function และลดความรุนแรงของ right heart hypertrophy ซึ่งเป็นสาเหตุของ chronic pulmonary hypertension ได้ จากการทดลองในหนูพบว่า ปริมาณของกระเทียมที่ให้ผลในหนูเทียบได้กับ การรับประทานกระเทียมวันละ 2 กลีบเท่านั้น
ข้อเสีย
ในเพศหญิงถ้ารับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไป ร่างกายจะร้อน ซูบผอม จะแสดงอาการวิตก หงุดหงิด จากการเสียเหงื่ออย่างรุนแรง ส่งผมเสียต่อม้าม,ตับอ่อน,ไต
ในเพศหญิงถ้ารับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไป ร่างกายจะร้อน ซูบผอม จะแสดงอาการวิตก หงุดหงิด จากการเสียเหงื่ออย่างรุนแรง ส่งผมเสียต่อม้าม,ตับอ่อน,ไต
ขอบคุณที่มา : สำนักข่าวไทย /pharmacy.mahidol.ac.th /news-medical.net
จากการศึกษาและได้ร่วมวิจัย สมุนไพรคาวตอง ในแนวทางของเภสัชศาสตร์สเต็มเซลล์มากกว่า 16 ปี โดยการพัฒนาเภสัชศาสตร์ สารใหม่ๆจากสมุนไพรคาวตอง ผ่านวิธีการหมักแบบชีวภาพที่ควบคุมระบบนิเวศน์ในถังหมักแบบเฉพาะและการทำให้แห้งโดยไม่ผ่านความร้อน ( Dynamic Freeze Drying )จึงทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยดูแลสุขภาพแบบองค์รวม จึงเป็นนวัตกรรมใหม่ที่สร้างความภาคภูมิใจของทีมวิจัยของคนไทย ที่มีเภสัชกรอุดม รินคำ ร่วมวิจัย และนำมาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของ Herborg
ภก.อุดม รินคำ ซึ่งเป็นผู้คิดค้นสูตร การผลิต “สมุนไพรคาวตอง” โดยได้รับอนุสิทธิบัตรเกี่ยวกับสมุนไพรคาวตอง 2 ใบ และได้นำสูตรมาพัฒนาให้ดีขึ้นจนเกิดขึ้นมาเป็นสมุนไพรที่ดีที่สุด
มีส่วนประกอบของพลูคาวสกัด และสารเบต้าคลูแคน
· ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวจำพวก NK CELL (เซลล์(Natural Killer Cells) ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและฆ่าเซลล์มะเร็งแบบเฉพราะ และยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ
· ช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพ
· ช่วยปรับสมดุลการทำงานอวัยวะต่างๆของร่างกาย
******** เลขที่อย. 24-1-09957-1-0091
******** ราคา 1,950 บาท โปรโมชั่น ซื้อ 1 แถม 1
******** ค่าส่งนิ่มซี่เส็ง 150 บาท
******** ค่าส่งนิ่มซี่เส็ง 150 บาท
สอบถามเพิ่มเติม >> คลิกแอดไลน์เลย
฿298
597 sold
พริกไทยราชาแห่งเครื่องเทศ ที่มีคุณประโยชน์มากมาย ทั้งเป็นเครื่องปรุงที่เอาไว้ดับคาวอาหาร และเป็นสมุนไพร ที่มีประโยชน์ต่อการรักษา พริกไทยนั้น จะมีลักษณะเม็ดเล็ก แต่รสชาติจัดจ้านเผ็ดร้อน ถ้าทำเป็นแบบแห้ง ก็จะได้ทั้งพริกไทยดำ (ไม่ปอกเปลือก) และพริกไทยขาว (ปอกเปลือกแล้ว) หรือ ถ้านำไปป่นก็จะกลายเป็นพริกไทยป่น เอาไว้โรยหน้าอาหารต่าง ๆ และให้กลิ่นหอมฉุน
ลักษณะของพริกไทย
พริกไทย เป็นต้นไม้อายุยืน เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง มีรากฝอยตามข้อเถา เอาไว้ยึดเกาะ มีขนาดความยาวประมาณ 5 เมตร ใบใหญ่คล้ายใบโพธิ์ แต่จะมีดอกขนาดเล็ก เมล็ดพริกไทยจะมีลักษณะกลม เม็ดเล็กเป็นพวง ตรงข้อของลำต้น โดยนิยมปลูกพริกไทยกันมาก ในจังหวัดจันทบุรี ตราด และระยอง โดยสายพันธ์ุที่นิยมปลูกกัน มีด้วยกัน 6 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ใบหนา พันธุ์บ้านแก้ว พันธุ์ปรางถี่ธรรมดา พันธุ์ปรางถี่หยิก พันธุ์ควายขวิด และสายพันธุ์คุชชิ่ง
สารเคมีในพริกไทย
มีน้ำมันหอมระเหย 2 - 4% มีแอลคาลอยด์หลัก คือ ไพเพอร์รีน 5 - 9% ซึ่งเป็นตัวทำให้เผ็ดร้อน มี Piperidine และ Pipercanine เป็นตัวทำให้มีกลิ่นฉุน พริกไทยอ่อนนั้น จะมีกลิ่นฉุนน้อยกว่าพริกไทยดำ และมีโปรตีน 11 % คาร์โบไฮเดรต 65 % แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตานบี2 ไนอาซิน และวิตามินซี
พริกไทย แบ่งตามวิธีการเก็บ และเตรียมได้เป็น 2 ชนิด คือ
- พริกไทยดำ ได้จากการนำเอาพริกไทย ที่แก่เต็มที่ แต่ยังไม่สุก มาตากแดดให้แห้ง จนออกเป็นสีดำ และไม่ต้องปลอกเปลือก
- พริกไทยขาว หรือพริกไทยล่อน ได้มาจากการนำ เอาพริกไทยที่สุกเต็มที่ มาแช่ในน้ำเพื่อลอกเปลือกออก แล้วนำไปตากให้แห้ง
ประโยชน์ทางยาของพริกไทย
พริกไทยดำ มีประโยชน์ ในการรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคกระเพาะ ลำไส้ แก้ปวด แก้อักเสบ เป็นต้น ทางตำราจีน จะใช้พริกไทยดำ ในการรักษา โรคท้องเดินจากอหิวาต์ โรคมาลาเรีย และแก้ไข้ น้ำมันในพริกไทยดำ ( สารพิเพอรีน ) ก็นำมาเจือจางกับน้ำ เอามาสูดดม หรือทาถูผิวหนัง เพื่อลดอาการไข้ หนาวสั่น ทำให้หายใจโล่งขึ้น และฆ่าเชื้อโรคได้ดี สามารถนำมาผสมกับน้ำมัน แล้วนวดบริเวณ ที่ปวดกล้ามเนื้อ นอกจากนี้กลิ่นของพริกไทย ยังเข้าไปกระตุ้นสมอง ให้รู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ ส่วนในตำราไทย จะนำพริกไทยดำ มาทำเป็นสมุนไพร เพื่อแก้อาการ จุกเสียด แน่นเฟ้อจากอาหารไม่ย่อย แก้อ่อนเพลีย และลดอาการอยากบุหรี่ ในรายที่ต้องการเลิกบุหรี่
วิธีการนำพริกไทยดำ มาทำการรักษา
- นำพริกไทยดำ มาแช่ในน้ำร้อน (1 พวงเมล็ด) นานประมาณ 15 - 20 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำร้อน (ทำคล้าย ๆ แช่ชา) ผสมกับน้ำผึ้ง 1 - 2 ช้อนชา แล้วค่อย ๆ จิบ เมื่ออาการไอแบบมีเสมหะ
- เมื่อมีอาการอยากบุหรี่ ระหว่างวัน ให้นำน้ำมันสกัด จากพริกไทยดำ มาชุบสำลี แล้วเอามาสูดดมทุกครั้งที่มีอาการ เพราะกลิ่นของน้ำมันพริกไทยดำ จะคล้าย ๆ กับกลิ่นของบุหรี่
- ในพริกไทยดำ มีสารเคมีชนิดหนึ่ง ที่สามารถทำให้เยื่อบุจมูกระคายเคือง จนน้ำมูกไหลออกมาทันที ฉะนั้นจมูกก็จะโล่งมากขึ้น นำน้ำมันสกัด จากพริกไทยดำ 3 หยด ไปต้มในน้ำ 1 ถ้วยตวง แล้วผสมน้ำมันยูคาลิปตัส ลงไปเล็กน้อย ต้มจนไอร้อนพุ่งตัวออกมา แล้วจึงนำน้ำต้มนั้น มาสูดดมเพื่อรักษาอาการ
- นำน้ำมันสกัด จากพริกไทยดำ 2 หยด มาผสมกับน้ำมันมะกอก ประมาณ 4 - 5 หยด แล้วผสมให้เข้ากัน แล้วนำไปทาบริเวณ ที่เคล็ดขัดยอก แล้วนวดวน ๆ สักพัก อาการก็จะดีขึ้น
- เมื่อรู้ท้องอืด แน่นท้อง ให้เติมพริกไทยดำ ( แบบเม็ด ) ลงในมื้ออาหาร หรือโรยบนเนื้อสัตว์ เพราะพริกไทยดำจะไปกระตุ้น ให้ร่างกายหลั่งกรด " ไฮโดรคลอริก " ซึ่งเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ที่มีหน้าที่ปรับสมดุล การย่อยของอาหาร ทำให้กระเพาะ และลำไส้ทำงานเป็นปกติมากขึ้น
- นำพริกไทยดำ มาตำหยาบ ผสมกับน้ำมันมะกอก แล้วนำมาขัดผิว เพราะในพริกไทยดำ มีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารต้านเชื้อแบคทีเรียค่อนข้างสูง อีกทั้งคึวามร้อนของพริกไทย ยังช่วยเปิดรูขุมขน ช่วยทำให้กำจัดสิ่งสกปรก ที่ฝังลึกได้อย่างดี และสามารถนำไปผสมกับครีม เพื่อทาตัวได้อีกด้วย
ประโยชน์ในการลดความอ้วน
ปัจจุบันได้มีผลการวิจัย จากประเทศสหรัฐอเมริกา ยืนว่าพริกไทยดำ สามารถลดความอ้วนได้จริง และสามารถลดน้ำหนัก ได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจาก ในพริกไทยดำ มีส่วนประกอบของสาร "ไพเพอร์รีน" ที่มีคุณสมบัติ ในการต่อต้านความอ้วน พริกไทยดำ มีจุดเด่นในเรื่องของ ความฉุน และรสชาติที่เผ็ดร้อน ช่วยในการควบคุม การก่อตัวของเซลล์ไขมันใหม่ให้ลดลง พร้อมกับทำลายเซลล์ไขมันเก่า ที่สะสมอยู่ภายในร่างกาย ให้มีจำนวนลดลง และกลับมาอ้วนได้ยากขึ้น และเข้าไปกระตุ้น การหลั่งของกรด ในกระเพาะอาหาร ทำให้ร่างกาย เผาผลาญพลังงาน ที่ได้รับจาการรับประทานอาหาร ไปใช้ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ทำให้ไม่เกิดการสะสมของไขมัน ซึ่งเป็นสำเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิดความอ้วน
฿285
วิธีการนำพริกไทย มาลดความอ้วน
- ใช้ในการรับประทาน โดยอาจจะนำมาทำ เป็นส่วนผสมของยาลด หรืออาหารเสริมลดน้ำหนัก มักนิยมนำพริกไทย มาป่นให้ละเอียด และผสมกับสมุนไพรตัวอื่น แล้วบรรจุลงแคปซูล หรืออัดเป็นเม็ด เพื่อทำให้ทานง่ายขึ้น โดยนำมารับประทาน ก่อนอาหาร ประมาณ 10 นาที ครั้งละ 2 - 4 แคปซูล เพื่อประสิธิภาพ ในการเผาผลาญไขมัน แต่ห้ามรับประทานทันที หลังทานอาหารเสร็จ เพราะจะทำให้เกิดอาการเรอ และท้องอืดทันที นอกจากนี้ ให้รับประทานแต่พอดี ไม่ควรทานติดต่อกัน นานเกิน 6 เดือน และทานในปริมาณ ที่มากเกินไป เพราะจะทำให้เป็น มะเร็งได้เช่นกัน
- นำน้ำมันพริกไทยดำ มาผสมกับครีม หรือนำพริกไทยป่นมาผสมกับ น้ำมันมะกอก แล้วเอามาทา หรือนวดวน ๆ ที่บริเวณต้นแขน ต้นขา จุดที่เป็นเปลือกส้ม ไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าจุดนั้นเริ่มร้อน ทาแบบนี้ทุกวัน หลังอาบน้ำเย็น หรือ ก่อนนอน วิธีนี้จะช่วยสลายไขมัน ตรงจุดนั้น ให้ผิวเรียบลื่น ไม่เป็นลูกคลื่น
เนื่องจากใน พริกไทยดำ ก็มีสารสารอัลคาลอยด์ ไพเพอร์ริน เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ก็จะถูกทำปฏิกิริยา เปลี่ยนเป็นสารก่อมะเร็งได้ จึงเห็นได้ชัดว่า พริกไทย ไม่ได้มีประโยชน์อย่างเดียว แต่ก็มีโทษด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นแนะนำว่าให้ใช้ในปริมาณ ที่พอเหมาะ อีกทั้งผู้ที่ป่วยเป็นโรคตา และโรคริดสีดวงทวาร ไม่ควรทานพริกไทยดำ เพราะจะทำให้อาการ กำเริบขึ้นได้
พริกไทยกับอาหาร
นอกจากสรรพคุณทางยาแล้ว ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ ก็คือการเป็นเครื่องเทศ ปรุงอาหาร ที่ขาดไม่ได้ในหลาย ๆ เมนู เพราะมีรสชาติที่จัดจ้านถึงใจ สามารถเอามาตัดความเลี่ยน ความคาวในอาหารได้อย่างลงตัว พริกไทย ยังมีคุณสมบัติ ในการกำจัดเชื้อจุลินทรีย์หลายชนิด จึงนิยมนำมาถนอมอาหาร จำพวกเนื้อสัตว์ เช่น ไส้กรอก กุนเชียง หมูยอ ซึ่งจะมีพริกไทยเป็นส่วนผสม หรือเพียงแค่โรยหน้าแกงต่าง ๆ ก็เพิ่มรสชาติได้อย่างหน้าอัศจรรย์
คุณค่าทางด้านโภชนาการ
- พริกไทยมีแคลเซียม ในปริมาณที่สูงมาก โดยเฉพาะในพริกไทยอ่อน ซึ่งแคลเซียมเป็นส่วนสำคัญในการบำรุงกระดูก และฟันให้แข็งแรงอยู่เสมอ และยังสามารถป้องกัน การเกิดภาวะกระดูกพรุนได้อีกด้วย
- พริกไทยมี ฟอสฟอรัส และวิตามินซี ที่ช่วยในการชะลอการเสื่อมของเซลล์ และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
- มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้น ของวิตามินเอ ซึ่งมีส่วนช่วยในการมองเห็น
- มีสารที่ชื่อว่า ไปเปอรีน และ ฟินอลิกส์ ซึ่งทั้งคู่เป็นสารต้านอนุูมูลอิสระ มีสรรพคุณในการป้องกันมะเร็งในระยะเริ่มต้น
นอกจากผลของพริกไทย จะมีประโยชน์มากมายแล้ว ใบและลำต้น ก็ยังสามารถเอามาทำยาสมุนไพรได้เช่นกัน ทั้งนี้อยู่ที่ว่า ใครจะนำไปทำ หรือผลิตเป็นแบบไหน โดยใช้ได้ทั้ง ดอกที่รักษาอาการตาแดง และความดันโลหิตสูง, ใบ แก้ลมจุกเสียด ปวดมวนท้อง, เถา แก้เสมหะที่คั่งที่ปอด และลดอาการท้องร่วง ขั้นรุนแรง, ราก ใช้ขับลมลำไส้ แก้วิงเวียน, น้ำมัน ในพริกไทย ช่วยลดน้ำหนัก และนวดทาบริเวณที่ปวดเมื่อย กล้ามเนื้ออักเสบ
No comments:
Post a Comment