โรคพุ่มพวง,โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรคSLE (Systemic lupus erythematosus, SLE) เป็นโรคภูมิต้านทานตนเองทำลายเนื้อเยื่อตัวเองเกิดการอักเสบเรื้อรัง อาการของโรคจะมีการกำเริบและสงบเป็นระยะ โรคนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงอายุน้อย โดยลักษณะพิเศษที่พบในโรคนี้คือการตรวจพบมีแอนติบอดีต่อส่วนประกอบในนิวเคลียสของเซลล์ (antinuclear antibody, ANA) โรคนี้จะมีอาการแสดงของความผิดปกติหลายระบบในร่างกายร่วมกัน เช่น
- ระบบผิวหนัง
- ระบบประสาท
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด
- กล้ามเนื้อและข้อ
- เม็ดเลือด
- ไต
- ระบบทางเดินหายใจ ฯลฯ
ดังนั้น ผู้ป่วยโรคSLE จึงมีอาการแสดงทางคลินิกที่หลากหลาย ผู้ป่วยแต่ละรายจะมีความรุนแรง และพยากรณ์โรคที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับจำนวนอวัยวะ และชนิดของอวัยวะที่มีความผิดปกติ อาการที่ไม่รุนแรง เช่น อาการผื่น ปวดข้อ ไปจนถึงอาการแสดงที่มีความรุนแรงถึงชีวิต เช่น ไตอักเสบ การดำเนินโรคในโรค SLE นั้น ส่วนใหญ่จะมีช่วงเวลาที่โรคกำเริบ และช่วงเวลาที่โรคสงบสลับกัน โดยอาการขระกำเริบนั้นมีความแตกต่างกันระหว่างบุคคล การให้การดูแลรักษาผู้ป่วยแต่ละราย ขณะที่มีอาการกำเริบแตกต่างกัน นอกจากนี้การดูแลรักษาผู้ป่วยโรค SLE ไม่ได้จำกัดเพียงการรักษา ขณะที่ผู้ป่วยมีอาการกำเริบเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการวางแผนการรักษาโรคในระยะยาวเพื่อป้องกันการกำเริบ และภาวะแทรกซ้อนทั้งจากตัวโรคและจากการรักษาโรคร่วมกับการติดตามผู้ป่วยที่เหมาะสม
ผู้ป่วย SLE รักษาไม่หายแต่สามารถมีคุณภาพีชีวิตใกล้เคียงคนปกติ ผู้ป่วยต้องทราบว่าโรคนี้จะมีบางช่วงที่ปราศจากอาการเรียก remission บางช่วงก็มีระยะที่เกิดโรคกำเริบเรียก flares ผู้ป่วยต้องเรียนรู้วิธีป้องกันโรคกำเริบและรู้วิธีรักษาโรคนี้มักจะเป็นในผู้หญิงแต่ไม่เป็นกรรมพันธุ์ โรค SLE มีได้หลายลักษณะดังนี้
- Systemic lupus erythematosus (SLE) หมายถึงโรคที่มีการทำอักเสบและมีการทำลายเนื้อเยื่อหลายอวัยวะ เช่น ผิวหนัง ไต ข้อ หัวใจ
- Discoid lupus erythematosus โรคที่เป็นเฉพาะผิวหนังโดยเฉพาะบริเวณหน้า หนังศีรษะ ผู้ป่วยจำนวนไม่มากที่เปลี่ยนไปเป็น SLE
- Drug-induced lupus เป็นกลุ่มโรคที่มีอาการเหมือน SLE เช่น มีผื่น ข้ออักเสบ มีไข้ แต่ไม่เป็นโรคไต เมื่อหยุดยาอาการต่างๆจะหายไป
- Neonatal lupus ทารกที่เกิดจากแม่ที่เป็น SLE พบน้อยมาก
โรคSLEมีความรุนแรงแต่ละคนไม่เท่ากัน และสามารถเกิดอวัยวะได้หลายอวัยวะ เช่น
- อาการทั่วไปได้แก่ มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดข้อ น้ำหนักลด
- อาการทางข้อ ได้แก่ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ข้ออักเสบ
- อาการทางผิวหนัง ได้แก่ ผื่นที่หน้า แพ้แสง
- อาการทางระบบประสาท ได้แก่ ชัก หรือมีอาการทางจิตเวช
- อาการทางโรคเลือด ได้แก่ซีด เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวต่ำ
- อาการทางโรคไต ไตรั่ว โรคไตวาย
- อาการทางโรคหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
- อาการทางเดินอาหาร ได้แก่ คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง
อาการที่สำคัญของโรคได้แก่ มีไข้ ปวดข้อ และมีผื่น
เนื่องจากความรุนแรงของโรคในแต่ละคนไม่เท่ากัน และอาการแต่ละระบบก็มีความรุนแรงต่างกันและอาการแสดงไม่พร้อมกัน ทำให้การวินิจฉัยโรคมีความไม่แน่นอน จึงต้องวินิจฉายตามเกณฑ์ซึ่งต้องอาศัยประวัติ การตรวจร่างกายพบผื่น ข้ออักเสบ แพ้แสง และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
โรคSLEจะเป็นๆหายๆ และมีการกำเริบ หลักสำคัญการรักษาโรคSLEคือการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันการกำเริบ การรักษาแบ่งออกเป็นการชักนำเพื่อให้โรคสงลโดยเร็วเพื่อป้องกันไตเสื่อม เมื่อโรคสงบแล้วจะต้องป้องกันมิให้โรคกำเริบ การรักษาแบ่งออกเป็นการดูแลตัวเอง และการใช้ยา
โรคSLEเป็นโรคที่กระทบกับอวัยวะหลายอวัยวะและหลายระบบ การป้องกันโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากตัวโรคเอง เช่นไตวาย ซีด เกล็ดเลือดต่ำ โรคทางระบบประสาท รวมทั้งโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากยากดภูมิ เช่นการติดเชื้อฉวยโอกาศ เช่น วัณโรค โรคพยาธิ์ นอกจากนั้นยังต้องป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากกลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้จะเสี่ยงต่อการเกิดโรค
คุณภาพชีวิตของผู้ป่วย SLE
แม้ว่าอาการของโรค SLE จะมีมากและผลข้างเคียงของยาจะมีมากแต่ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตอย่างมีความสุขได้ หากเรียนรู้ถึงอาการเตือนของการกำเริบของโรค และสามารถรู้ถึงวิธีป้องกันโรค ผู้ป่วยควรไดัรับการตรวจจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอโดยการตรวจร่างกาย และตรวจเลือด ไม่ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการเนื่องจากการรักษาแต่เริ่มแรก จะให้ผลการรักษาได้ผลดีกว่าการรักษาเมื่อโรคเป็นมากแล้ว
ผู้ป่วย SLE ควรได้รับการตรวจสุขภาพประจำปีเช่น การตรวจเต้านม การตรวจภายใน การตรวจสุขภาพช่องปาก และการฉีดวัคซีน ผู้ป่วยที่รับประทานยา steroid หรือยารักษามาลาเรียควรได้รับการตรวจตาทุกปี
สัญญาณเตือนภัย
- อ่อนเพลีย Increased fatigue
- ปวดข้อ Pain
- ผื่น Rash
- ไข้ Fever
- แน่นท้อง Stomach discomfort
- ปวดศีรษะ Headache
- มึนงง Dizziness
การป้องกันการกำเริบ
- ต้องเรียนรู้สัญญาณเตือนภัย
- ต้องตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
- ตั้งเป้าหมายการรักษา
- ต้องหลีกเลี่ยงแสงแดด
- รักษาสุขภาพให้ดีและคุมอาหาร
- หลีกเลี่ยงความเครียด
- ต้องมีเวลาผักผ่อนเพียงพอ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
สรุป
โรค SLE นั้นเป็นโรคเรื้อรังที่มีความหลากหลายของอาการ และอาการแสดง แพทย์ควรมีความรู้ ความเข้าใจในการวินิจฉัย การประเมินอวัยวะที่มีอาการ ระดับการกำเริบของโรค อวัยวะที่สูญเสียหน้าที่ไปแล้ว ภาวะแทรกซ้อนในระยะสั้น ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวเพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกชนิดการรักษา โดยคำนึงถึงการรักษาที่พอเพียงที่จะควบคุมโรคได้ มีผลแทรกซ้อนในระยะสั้นและระยะยาวน้อยที่สุด เนื่องจากการรักษาโรค SLE มีระยะการรักษาโรคยาวนาน ดังนั้น นอกจากการรักษาตัวโรคแล้วยังควรให้การรักษาป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว และควรให้ความสำคัญต่อการให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยถึงแนวทางการรักษา แนวทางการปฏิบัติตนซึ่งจะนำไปสู่ผลการรักษาที่ดีในระยะยาว
การวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัยโรคโรคพุ่มพวง,โรคเอสแอลอี จะต้องอาศัยประวัติการเจ็บป่วย และผลตรวจเลือด การวินิจฉัยจะอาศัยเกณฑ์การวินิจฉัยเพื่อให้การวินิจฉัยแม่นยำขึ้น เกณฑ์การวินิจฉัย(ตาม American College of Rheumatology (ACR) criteria ) จะมีความไว 85% และความแม่นยำ 95% เกณฑ์ดังกล่าวได้แก่
- เยื่อหุ้มปอด หรือหัวใจ หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- แผลในปาก
- ข้ออักเสบ
- แพ้แสง
- ความผิดปกติของเลือด
- มีภาวะทางไต
- ตรวจเลือดพบ Antinuclear antibodies
- ตรวจทางภูมิคุ้มกัน (eg, dsDNA; anti-Smith [Sm] antibodies)
- มีความผิดปกติทางระบบประสาท
- ผื่นที่หน้า
- ผื่น Discoid rash
เกณฑ์การวินิจฉัยต้องใช้ 4 ใน 11 ข้อ
การตรวจเลือด
การตรวจทั่วๆไป
- การตรวจความสมบูรณืของเม็ดเลือด CBC
- การตรวจการทำงานของไต Serum creatinine
- การตรวจปัสสาวะ Urinalysis
การตรวจอื่นๆ
- ESR or CRP results
- Complement levels
- การตรวจการทำงานของตับ Liver function tests
- Creatine kinase assay
- Spot protein/spot creatinine ratio
- Autoantibody tests
การตรวจทางรังสี
- การตรวจรังสีของข้อ
- การตรวจรังสีปอด Chest radiography and chest CT scanning
- การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงหัวใจ Echocardiography
- การตรวจ MRI/ MRA สมอง
- การตรวจ Cardiac MRI
การตรวจพิเศษ
ผู้ป่วยบางรายอาจจะต้องมีการตรวจพิเศษเช่น
- การเจาะเข่าในกรณีที่มีการอักเสบของเข่า
- การเจาะน้ำไขสันหลัง
- การตัดชิ้นเนื้อไต
การดูแลรักษาผู้ป่วย
การดูแลผู้ป่วยแต่ละรายไม่เหมือนกันขึ้นกับความรุนแรง และอาการแสดงออก
การใช้ยารักษาได้แก่
- Biologic DMARDs (disease-modifying antirheumatic drugs): Belimumab, rituximab, IV immune globulin
- Nonbiologic DMARDS: Cyclophosphamide, methotrexate, azathioprine, mycophenolate, cyclosporine
- ยากลุ่ม Nonsteroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDS; eg, ibuprofen, naproxen, diclofenac)
- ยากลุ่ม Corticosteroids (eg, methylprednisolone, prednisone)
- ยารักษามาลาเรีย Antimalarials (eg, hydroxychloroquine)...-ข้อมูลจาก Siamhealth.net
สมุนไพรคือแพทย์ทางเลือก...เครื่องดื่มสมุนไพรคาวตอง นาคาแลนด์ สารสกัดเข้มข้นพลูคาวถึง95%
โครงการวิจัยของคณาจารย์ภาพวิชาจุลชีววิทยาคณะแพทย์ศาสตร์
- สมุนไพรคาวตองนอกจากจะได้รับคุณสมบัติตัวยาประมาณ 200 ชนิดแล้ว
เมื่อผ่านกระบวนการหมักเป็นจุลินทรีย์แลคโตบาซิลัส ผลิตกรดแลคติคอันเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคือ
จะช่วยเสริมสร้าง และซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ รวมทั้งเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว
ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน สามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอม และขับสารพิษจากการวิจัยคาวตองสามารถต้านไวรัส
ต้านเชื้อรา ต้านแบคทีเรีย และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันรักษาโรคผิวหนังทุกชนิด ทั้งนี้ต้องรับประทานอย่างต่อเนื่องเท่านั้น...จาก สัญญา youtube
No comments:
Post a Comment